วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่องของยีนส์ (five pocket,denim)


Denim หรือ jean หรือ indego โครงสร้างผ้าตัวนี้ นับว่าเป็นโครงสร้างผ้าที่เป็นอมตะตลอดกาล ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผ้าตัวนี้ก็จะอยู่ในวงการแฟชั่นอย่างมั่นคงถาวร ประมาณว่า rock never die ส่วน jean ก็ never die ในวงการแฟชั่น เหมือนกัน
Denim หรือ jean หรือ indego ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคตื่นทองของอเมริกา เพราะความต้องการผ้าที่ทนต่อการทำงานหนักในเหมือง ซึ่งตัวผ้า jeans เดิมนั้นมีความหนาถึง 16 oz. ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว ส่วนคำว่า ounce ย่อมาจากการเรียกตามความหนาของผ้า ซึ่ง Denim หรือ jean หรือ indego จะเป็นการทอผ้า cotton 100% โดยใช้เส้นด้ายสีขาว กับเส้นด้ายที่ผ่านการย้อมสี indego ซึ่งส่วนใหญ่จะทอเป็นลาย twill และ canvas และลายสายฝน หรืออาจจะทอเป็นแบบอื่น ๆ อีก แต่ที่นิยมใช้กันจะมีอยู่ไม่กี่ชนิด นอกจากจะเป็น cotton 100% แล้วยังมีโครงสร้าง span denim (เป็นการผสมระหว่าง cotton กับ rayon) ข้อดีของผ้าตัวนี้ค่อนข้างจะนุ่ม แต่มีข้อเสียคือเวลาใช้ไปนาน ๆ แล้วจะขึ้นขน และเวลาส่งฟอกจะฟอกได้อย่างเดียวคือ การฟอกแบบล้างน้ำ (water wash) เพื่อให้สีไม่ตกอีก ซึ่งไม่แนะนำให้ฟอกแบบอื่น โดยเฉพาะ sand wash หรือ  stone wash เพราะจะทำให้ผ้าขาดหรือเป็นรูได้ และอีกโครงสร้างหนึ่งคือ spandex denim เป็นการทอผสมระหว่าง cotton 100%  กับ spandex อีก 2% ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่ายีนส์ยืด ซึ่งเอาไว้ทำพวกกางเกงทรงรัดรูป และยังมีโครงสร้างยีนส์แฟนซี อีก เช่น ยีนส์สี หรืออาจจะมีแบบอื่นอีก แต่ผมไม่ขอพูดถึง เพราะถ้าคุณได้เข้ามาสู่วงการ fashion designer ก็คงจะมีคนมาเสนอโครงสร้างผ้าแบบอื่น ๆ ให้คุณได้เรียกใช้อีกมากมาย
ก่อนจะพูดถึงเรื่องโครงสร้างผ้า ขอเขียนถึงวิธีการฟอกผ้า denim ซึ่งอาจมีหลายลักษณะ ซึ่งอาจจะเรียกต่างกันบ้าง แต่ที่จะเขียนถึงมีประมาณ ห้าหกชนิดที่นิยมใช้กันอยู่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างผ้า ขนาดน้ำหนัก oz. ของผ้า และรวมถึงต้นทุนด้วย เพราะการฟอกแต่ละชนิดราคาจะแตกต่างกันมากพอสมควร
1.water wash คือการฟอกแบบล้างน้ำ เพื่อล้างสีออกให้หมด เวลาลูกค้าซื้อไปใช้และผ้าจะได้ไม่ตกสีอีก ก็ขอแนะนำให้เมื่อฟอกด้วยวิธีนี้แล้วให้ สั่งทางโรงฟอกใส่ soft tenner พิเศษด้วย (ก็คือการใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มนั่นแหละ) ซึ่งราคาจะแตกต่างกันเล็กน้อย แล้วจะทำให้ตัวผ้านุ่มไม่กระด้าง ซึ่งเหมาะสำหรับการฟอกที่ไม่ต้องการให้สีซีดมากซึ่งใช้ฟอกได้ตั้งแต่ 6 – 14 oz. ซึ่งเหมาะกับการใช้ฟอก span denim เพราะจะทำให้ผ้าไม่ขึ้นขนมาก ผ้าตัวนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ soft tenner ก็ได้เพื่อเป็นการเซฟต้นทุนของการผลิต ขึ้นอยู่กับความต้องการของ fashion designer
2.sand wash คือการฟอกด้วยทราย เช่นกันควรสั่งโรงฟอกใส่ soft tenner ด้วยเพื่อป้องกันการกระด้างของผ้า sand wash เป็นการฟอกผ้าให้ซีดลงเสมอกันทั้งตัว จะฟอกให้สีซีดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาในการฟอก เหมาะกับการฟอกผ้าที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 6-14 oz. รวมทั้งยีนส์สี แต่ไม่เหมาะกับ span denim กับ spandex denim
3.stone wash คือการฟอกด้วยหิน (หินชนิดหนึ่งที่มีน้ำหนักเบา) การฟอกแบบนี้ทำให้ผ้าที่ถูกฟอกไม่สม่ำเสมอกัน แล้วยังสามารถทำให้ซีดเป็นเฉพาะจุดได้ โดยการเอาหินมาขัดตามตำแหน่งที่ต้องการ เช่นที่หัวเข่า หน้าขา หรือแขนเสื้อ jacket โดยการขัดด้วยมืออีกครั้ง เช่นกัน ควรใส่ soft tenner ด้วย น้ำหนักผ้าที่เหมาะกับการฟอก stone wash คือตั้งแต่ 8-14 oz. ส่วนตัว 6 oz. หากฟอกด้วยวิธีนี้อาจทำให้ผ้าขาดเป็นรูได้ ฟอกได้ทั้งสีอ่อนและสีเข้ม
4.chemical wash ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นการฟอกด้วยสารเคมี ซึ่งอาจจะเป็นการฟอกด้วยน้ำยาไฮเตอร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งการฟอกชนิดนี้ ข้อดีคือทำให้ผ้า นั้น smooth ไปทั้งตัว และจำเป็นต้องใส่ sofe tenner ด้วย เหมือนกันกับวิธีอื่น ๆ น้ำหนักผ้าที่เหมาะกับการฟอก chemical wash คือตั้งแต่ 6-14 oz.
5.Enzyne cilicone เป็นการฟอกที่ออกมาแล้วค่อนข้างจะดูดีที่สุดในบรรดาการฟอกทั้งหมด แต่ราคาค่อนข้างสูง ผ้าที่ผ่านการฟอกด้วยวิธีนี้ ค่อนข้างนุ่มและ smooth ไปทั้งตัวฟอกได้ทั้งสีอ่อนและสีเข้ม น้ำหนักผ้าที่เหมาะกับการฟอก Ency cilicone คือตั้งแต่ 6-14 oz.

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วยเรื่องของ summer sale, midnight sale, midyear sale, grand sale


สวัสดีครับวันนี้มีบทความมาเตือนใจสาว ๆ ที่ชอบ shopping ทั้งหลายแหล่ที่พบเห็นป้ายลดราคา หรือที่เรียกกันว่า sale ทั้งหลายแหล่นั้นเอง ยิ่งถ้า ตัวเลขที่อยู่ต่อท้าย คำว่า sale มีจำนวนตัวเลขมากเท่าไหร่ เช่น 80% ะทำให้ต่อมการอยากซื้อทำงานโดยไม่ผ่านการสั่งการของสมองแล้วล่ะก็ต้องอ่านเรื่องนี้ครับ
ถ้าคุณเป็นประเภทชอบเดินห้างโดยเฉพาะช่วง ที่มีการ sale เช่น summer sale, midnight sale, midyear sale, grand sale ซึ่งทางห้างที่จัด promotion จะลดตั้งแต่ 20%- 80% จากราคาป้ายซึ่งคุณอาจจะคิดว่าแทบจะลดต่ำกว่าทุนด้วยซ้ำกำไรจริงๆ เราที่ได้ซื้อ  แต่ความจริงแล้วราคาจากป้ายที่คุณเห็นนั้น ในการผลิตเสื้อผ้าในแต่ละล็อต ได้ผ่านการคูณจากต้นทุนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 300%-1000% มาแล้ว ในกรณีที่เป็น brand ไทย ก็ประมาณ 300%-500% ส่วน international brand นั้น ก็จะอยู่ที่ 500%-1000% up ซึ่งต่อให้ทางห้างลดราคา 100% ก็ยังกำไรอยู่ดี (พูดง่ายๆ คือแจกฟรียังกำไร) เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะว่าหากทางห้างได้ลดราคาถึง 80% นั้นหมายความว่าได้เอาสินค้า collection เดิมที่ยังค้างอยู่และได้ทำกำไรมาแล้วจากจำนวนสินค้าที่ได้ผลิตในแต่ละล็อต ยกตัวอย่างเช่น ทำเสื้อออกมาขาย หนึ่งหมื่นตัว ต้นทุนทุกอย่างรวมค่าโฆษณา ตกอยู่ตัวละ 95 บาท นี่หมายถึงว่าเนื้อผ้าอย่างดีนะ มาคูณกำไรดูสิ สัก ห้าเท่า (500%)  95x5 = 475 + (33.25 vat 7%) = 508.25 และอาจบวกค่าขนส่งอีก แต่แน่นอน หากขายในห้าง บางห้างอาจคิดเอา กำไรจากการขายสินค้าต่อตัวไปด้วย ก็สักประมาณ 20% ก็จะบวกไปอีก 508.25+101.65(20%) =  609.90 บาท และแน่นอน บวก vat อีก 7% = 42.693 รวมราคาที่ผู้บริโภคอย่างคุณต้องจ่าย 609.90 + 42.693 = 652.593 ผลิตมา 10,000 ตัวในล็อตนั้น ต้นทุนอยู่ที่ 950,000 บาท ขายไปประมาณ 2,000 ตัวเท่านั้นเองก็ได้ทุนคืนแล้ว ส่วนที่เหลือกำไรล้วน ๆ แต่ก็ไม่มีทางขายได้หมดอยู่แล้ว อย่างมากก็ 70 – 80 % ของล็อต แต่แค่นี้ก็กำไรแล้วใช่มะ พอหมดช่วงแฟชั่นก็เอาไป sale ซะ ลดไปสิ 20%- 80%  ก็ขายได้กำไรมาแล้วในล็อตนั้น จะแจกฟรียังกำไรเลย แต่ถ้าเป็นพวกสินค้า collection ใหม่ก็จะลดได้เต็มที่ 20% เท่านั้น เพราะว่ายังไม่ได้ทุนคืน และมีแนวโน้มว่าคนจะซื้อเยอะต้องตักตวงกำไรห้มาก ๆ ก่อน ส่วนถ้าเป็นห้างจำพวก modern trade ราคา mark up จะอยู่ที่ 150%-250%  ประมาณนี้
ดังนั้น อย่าได้คิดว่าคุณได้ซื้อสินค้าถูกโดยที่เจ้าของสินค้ายอมขาดทุน เขาไม่มีทางขาดทุนเพราะว่าเขาได้กำไรมามากพอแล้ว ฝากบอกไว้สำหรับสาว ๆ ที่ชอบ shopping นะจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ผ้ายืดพิมพ์ลาย

ก่อนจะเข้าเรื่องผ้า woven ขอเข้ามาว่าด้วยเรื่องของผ้ายืดพิมพ์ลาย ซึ่งจะมีประมาณ 4-5 ชนิดคือ
ลักษณะการพิมพ์ลายลงบนผ้า 100   % cotton อย่างเช่น ถ้าเป็นโครงสร้างผ้า jersey หรือ double knit  จะเป็นระบบการพิมพ์แบบ roller และระบบ Richard ความต่างก็คือ ระบบ roller จะพิมพ์ได้หลากหลายสี ส่วนระบบ Richard จะเป็นการย้อมผ้ามาก่อนแล้วค่อยกัดสีออก เพื่อจะให้เห็นพื้นสีเดิมของผ้าดังนั้นการพิมพ์ลายผ้าลักษณะนี้สีจึงค่อนข้างจำกัด  แต่ข้อดีของระบบ Richard นั้นก็คือสามารถพิมพ์ลายลงบนผ้าที่มีลายนูน อย่างผ้า jackquard หรือ ผ้า rib ได้ ส่วนระบบ roller จะพิมพ์ได้ในผ้าเนื้อเรียบได้เท่านั้น  
ส่วนอีกลักษณะก็คือ ระบบ paper print คือระบบการใช้ความร้อน หรือการรีดลายลงบนผ้า สีสันและลายของการพิมพ์ลักษณะนี้ไม่มีขีดจำกัดในการพิมพ์ แบบหรือลาย แต่มีข้อจำกัดตรงที่ว่า พิมพ์ลายลงในผ้า 100 % cotton ไม่ได้ ส่วนใหญ่จะพิมพ์ลายลงบนผ้า t/c หรือ t/k และเวลาที่ใช้ผ้าไปนาน ๆ แล้ว สีจะซีดจางลงมาก 
ส่วนอีกระบบหนึ่งคือ การพิมพ์แบบ pickment เป็นการพิมพ์ยางระบบหนึ่ง ส่วนใหญ่จะพิมพ์เป็นลายจุดเล็ก ๆ ซึ่งมักใช้พิมพ์กับผ้าเนื้อเรียบ เช่นผ้า single jersey, spendex, double knit และยังเป็นการพิมพ์ระบบ silk screen ซึ่งถือว่าเป็นระบบ ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ และพิมพ์บนเนื้อผ้าได้เกือบทุกชนิด ส่วน fasion designer นั้นจะเลือกใช้วิธีการพิมพ์ลายผ้าแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับ สาขาการขายว่ามีสาขามาน้อยแค่ไหน เพราะการพิมพ์ผ้า ในระบบเหล่านี้นั้นส่วนมากจะมี ขั้นต่ำในการสั่งพิมพ์ค่อนข้างสูง ถ้ารับไม่ไหวก็ลองสั่งผ้า import จากสำเพ็งสักพับสองพับมาดูก่อนก็ได้ เพียงแต่เลือกให้เข้ากับ concept ที่คุณดูแลอยู่เท่านั้น
ส่วนโครงสร้างผ้ายืดนอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วก็ยังมีอีกหลากหลายชนิด เช่น พวก sport wear หรือโครงสร้างใหม่ทีออกมาอย่างเช่น ผ้า knit ที่ไม่ซับน้ำหรือเหงื่อหรือนวัตกรรม จาก  nano technology และย่างล่าสุดก็เส้นด้ายที่สกัดมาจากน้ำนม (คุณอ่านไม่ผิดและก็ไม่ได้เขียนผิดอีกด้วย เพราะว่าทำมาจากน้ำนมจริง ๆ ) ซึ่งผลิตภัณฑ์ เหล่านี้ราคาค่อนข้างสูง ซึ่ง คุณอาจจะหยิบมาใข้ในบางโอกาสเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วโครงสร้างของผ้าที่คุณจะได้ ใช้ในงาน fashion จริง ๆ ก็หนีไม่พ้น โครงสร้างผ้า basic ที่ผมเขียนบอกไว้ข้างต้น เรื่องของผ้า knit นั้นก็คงจะนำมากล่าวให้ฟังเพียงเท่านี้นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องแสวงหาเอาความรู้ใส่ตัวไว้เองสำหรับเหล่า fashion designer หรือผู้ที่รักจะเป็น fashion designer ทั้งหลาย