Fabrics (โครงสร้างผ้า)
ถ้าหากว่าคุณคิดจะเป็น fashion designer เก่งๆ ในสารบบ mass product นอกจากจะมี idea ที่ดี มีฝีมือที่ดีในการวาดภาพแล้ว คุณควรจะรู้จักโครงสร้างผ้าชนิดต่าง ๆ ในสายงานของคุณ พยายามศึกษาคุณสมบัติของโครงสร้างผ้าแต่ละชนิด และ design เสื้อผ้าแต่ละแบบให้เหมาะสมกับโครงสร้างผ้านั้น ๆ ด้วย เพราะ fashion designer บางคนที่เป็น fashion designer ออกแบบเสื้อผ้าได้สวยมาก วาดรูปออกมานี่อย่างเทพ แต่พอจะเอาแบบมาทำกับเสื้อผ้ากลับไม่เหมาะสมกับโครงสร้างผ้านั้นๆ แทนที่งานจะออกมาดูดีก็กลับกลายว่าเป็นงานที่ดูแย่มาก ๆ มันจะทำให้คุณเป็นได้แค่คนวาดตุ๊กตาวาดการ์ตูนได้ดีเท่านั้นเอง หากไม่มีความรู้เรื่องโครงสร้างผ้าแล้วเราจะออกแบบเสื้อผ้าให้สวยงามได้อย่างไร หากไม่รู้จักวัสดุที่จะนำมาใช้กับงาน นี่เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ fashion designer ที่ดีควรมีติดตัวไว้
ซึ่งโครงสร้างผ้านั้นก็แยกได้สองแบบคือ แบ่งตามลักษณะการถักทอ และแบ่งตามเนื้อผ้าหรือเส้นใยผ้า
ถ้าแบ่งตามลักษณะการทอนั้นจะแบ่งออกได้เป็นสามประเภทสำหรับผ้าที่คนทั่วไปรู้จัก คือ
1. 1.knitted fabrics (ผ้าถักหรือที่เรียกว่าผ้ายืดโดยทั่วไป)
2. 2.woven fabrics (ผ้าทอ)
3.ผ้าที่ไม่ทอและถักหรือมีวิธีการผลิตอย่างอื่นแต่สำหรับโครงสร้างผ้าสำหรับfashion designer ในหมวดของ mass product ส่วนใหญ่แล้ว ที่ใช้กันจริงๆ จะประกอบด้วย
ผ้า
![]() |
เครื่องทอผ้า Knit |
1. knitted fabrics (ผ้าถักหรือที่เรียกว่าผ้ายืดโดยทั่วไป) ซึ่งเรียกตามลักษณะการทอนั่นเอง knit เป็นผ้าที่เกิดจากลักษณะการทอผ้าชนิดนี้ซึ่งจะทอในลักษณะใช้เข็ม (needles) ถักเพื่อให้เกิดเป็นห่วงของด้ายที่มีการสอดขัดกัน (interlocking loops) โดยจะมีเส้นที่อยู่แนวตั้ง (Wales) และเส้นที่อยู่ในแนวนอน (courses)เป็นเส้นด้ายร้อยกันไปมาและทอ(แบบถัก)ขึ้นรูปเป็นวงกลมโดยใช้เครื่องทอผ้าแบบวงกลมซึ่งจะได้เสื้อที่ออกมาไม่มีรอยตัดด้านข้างตัวมีลักษณะเหมือนผ้าถุงหรือโสร่งที่ไม่มีรอยเย็บด้านข้าง
2. woven fabrics (ผ้าทอ)เป็นผ้าที่เกิดจากกระบวนการทอโดยใช้เครื่องทอ (weaving loom)หรือกี่นั่นเอง โดยมีเส้นยืน (warp yarn) และเส้นพุ่ง (filling or weft yarn) ที่ทอขัดในแนวตั้งฉากกัน และจุดที่เส้นทั้งสองสอดประสานกัน (interlacing) จะเป็นจุดที่เส้นด้ายเปลี่ยนตำแหน่งจากด้านหนึ่งของผ้าไปด้านตรงข้าม การทอในปัจจุบันมีการพัฒนา จากการทอด้วยมือ (hand looms) ไปเป็นการใช้เครื่องจักรในการทอ โดยใช้เทคนิคหลากหลายรูปแบบ แตกต่างกัน เช่น Air-jet loom, Rapier loom, Water-jet loom, Projectile loom, Double-width loom, Multiple-shed loom, Circular loom, Triaxial loom เยอะแยะมากมายแต่เราเหล่าfashion designer ไม่ต้องไปสนใจเราสนใจแค่การออกแบบกับการเลือกผ้ามาใช้ก็พอแย้ว
3. denim (ที่เหล่าคนบ้านๆ ทั่วไปเรียกว่ายีนส์แต่สำหรับfashion designerแล้วจะเรียกเสื้อหรือกางเกงที่ตัดด้วยผ้าชนิดนี้ว่า denim หรือ five pocket อย่างนี้นี่เอง)
ถ้าแบ่งตามลักษณะเนื้อผ้านั้นจะแบ่งออกได้เป็นสามประเภทเช่นเดียวกันสำหรับเนื้อผ้าที่คนทั่วไปรู้จัก คือ
1.ผ้าฝ้าย (cotton)
นิยมใช้ทำเสื้อชนิดต่างๆ มีราคาค่อนข้างสูง สมบัติทั่วไปของผ้าฝ้ายก็คือ สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี
ซับเหงื่อได้ดีเยี่ยม เนื้อผ้าจะมีลักษณะด้าน แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน คือมันจะยับง่าย เมื่อซักบ่อยๆ ก็จะย้วย
2.ผ้าฝ้ายผสมกับผ้าใยสังเคาะห์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าผ้า T/C หรือ TC
เป็นผ้าที่มีส่วนผสมเป็นใยสังเคราะห์ และนำเนื้อฝ้ายเข้ามาผสมรวมด้วย
คุณสมบัติก็จะอยู่กลางระหว่างผ้า cotton กับผ้า TK ผ้าชนิดนี้นิยมทอผ้าให้มีลักษณะเป็นรู
เนื่องจากผ้าประเภท TK และ TC มีสมบัติในการระบายอากาศที่ไม่ค่อยดีนัก การทอผ้า
จึงนิยมทอผ้าให้มีรูเล็กๆ เพื่อช่วยระบายอากาศ และเพื่อความสบายในการสวมใส่เนื้อผ้า
จะมีลักษณะความมัน (น้อยกว่า TK)
3.ผ้าใยสังเคาะห์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าผ้า T/K หรือ TK
เป็นผ้าที่มีส่วนผสมหลักเป็นใยสังเคราะห์ เนื้อผ้าจะมีลักษณะมันคุณสมบัติ ทั่วๆไป คือ ผ้า TK จะไม่ค่อยยับ อยู่ทรง ไม่ย้วย สีไม่ตกแต่ข้อเสียก็คือเสื้อที่ทำจากผ้า TK ใส่แล้วจะร้อนเนื่องจากระบายอากาศไม่ดีผ้า TK จึงนิยมทอ ให้มีลักษณะเป็นรูเช่นกัน ทนทานหาได้ง่ายและวางขายตามท้องตลาด เดี๋ยวมาว่ากันเรื่องเบอร์และน้ำหนักของผ้าแต่ละชนิดในบทความหน้าครับ แหมวางภาพลำบากมากในบล็อกเลยไม่ค่อยมีตัวอย่างให้ดู
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น